วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

ประวัติ ขสมก.

ตราสัญลักษณ์



องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ใช้ตราสัญลักษณ์มาแล้วสองรูปแบบ กล่าวคือ นับแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2519 องค์การฯ ใช้ตราสัญลักษณ์ เป็นภาพวงกลมที่มีเส้นรอบวงเป็นสีแดงขอบหนา มีป้ายรูปหกเหลี่ยมสีน้ำเงินเข้มคาดทับ ตามแนวขวางในส่วนกลางของวงกลม บนป้ายมีอักษรสีขาว เป็นชื่อเต็มขององค์การฯ คือ "องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ" ซึ่งใช้มาจนถึงวันที่ 30 กันยายนพ.ศ. 2535 จึงเปลี่ยนไปใช้ตราสัญลักษณ์ใหม่ ซึ่งเริ่มปรากฏบนรถโดยสารบางส่วน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เป็นภาพวงรีสีเขียว ปลายทั้งสองวางตามแนวบนขวาไปล่างซ้าย มีอักษรย่อขององค์การฯ คือ "ขสมก" สีน้ำเงิน ลักษณะเอนไปทางขวา คาดทับตามแนวขวางในส่วนกลางของวงรี หลังจากนั้น องค์การฯ ก็เร่งทยอยเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ที่แสดงบนรถโดยสาร จนราวต้นปี พ.ศ. 2536 จึงดำเนินการแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ และใช้ตราสัญลักษณ์รูปแบบดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน




วันนี้จึงรับอาสาพาย้อนไปดูเหตุการณ์ในอดีตก่อนที่รถเมล์จะรวมกันเป็น ขสมก.ว่าเขาคุยกันอย่างไร

โดย...สมาน สุดโต

ข่าวเรื่องกระทรวงคมนาคมจะจัดหารถเมล์มาวิ่งเพิ่มเติมในกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากที่มีความพยายามจะเช่ารถเมล์ใช้เอ็นจีวี 4,000 คัน ตามมาด้วยโครงการเร่งด่วนตามข้อเสนอสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ให้เร่งจัดหารถเมล์ 500 คัน มาแทนรถที่ต้องซ่อมและถูกเผาเมื่อปีที่แล้ว

วันนี้จึงรับอาสาพาย้อนไปดูเหตุการณ์ในอดีตก่อนที่รถเมล์จะรวมกันเป็น ขสมก.ว่าเขาคุยกันอย่างไร

การขนส่งเมืองไทย

ก่อนที่จะมีรถเมล์หรือรถประจำทางนั้น พาหนะที่ใช้ในการขนส่งสำหรับคนเมืองหลวงคือ เรือ เกวียน ม้า รถม้า รถเจ๊ก สามล้อถีบ รถราง และรถไฟ

เมื่อประมาณปี 2451 พระยาภักดีนรเศรษฐ์ (เลิศ เศรษฐบุตร) เป็นคนแรกที่เดินรถเมล์สายแรกระหว่างประตูน้ำ-สี่พระยา สระปทุม-สะพานยศเส ตอนนั้นเก็บค่าโดยสารตามระยะทางใกล้-ไกล คือ 3 สตางค์ 5 สตางค์ แต่ถ้านั่งจากต้นทางถึงปลายทางเก็บ 10 สตางค์

รถเมล์นายเลิศนี้คนทั่วไปรู้จักกันในนามรถเมล์ขาว เพราะทาสีขาวทั้งคัน คนขับและกระเป๋าก็แต่งชุดขาวทุกคน ต่อมามีบริษัทประกอบการรถเมล์เกิดขึ้นหลายบริษัทตามจำนวนเส้นทางและประชาชนที่เพิ่มขึ้น โดย บริษัท นายเลิศ จำกัด ยังเป็นรายใหญ่ที่ดำเนินการรถเมล์เพิ่มขึ้นถึง 800 คัน ใน 21 เส้นทาง

ส่วนบริษัทอื่นๆ อีก 18 บริษัท เช่น บริษัท รถเมล์เหลือง จำกัด บริษัท ศรีนคร จำกัด บริษัท ไทยประดิษฐ์ จำกัด บริษัท ศิริมิตร จำกัด และองค์การ ร.ส.พ. เป็นต้น แต่ละบริษัทมีจำนวนรถและเส้นทางเดินรถไม่มาก บางบริษัทมี 2-3 เส้นทาง จำนวนรถ 30-40 คัน

เท่าที่พอจำได้ สาย 1 ถนนตก-ท่าเตียน นั้นเป็นเส้นทางของ ร.ส.พ. สาย 2 ปากคลองตลาด-พระโขนง สาย 8 สะพานพุทธ-ลาดพร้าว เป็นเส้นทางเดินรถของรถเมล์ขาว หรือบริษัท นายเลิศ จำกัด สาย 37 บางปะกอก-มหานาค เป็นเส้นทางของรถเมล์เหลือง

ส่วนค่าโดยสารที่คนกรุงเทพฯ จ่ายก่อนรวมกันเป็น ขสมก.เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เพียง 75 สตางค์ ซึ่งก็ถือว่าแพงแล้ว (โอเลี้ยงแก้วละ 1 บาท)

ต้องรวมรถเมล์

ส่วนต้นเหตุที่จะรวมเป็น ขสมก.นั้นมาจากการดำริและนโยบายของรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ และมาเป็นจริงในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2518 จุดประสงค์ก็เพื่อพัฒนากิจการการขนส่งมวลชนให้เป็นที่พึ่งของประชาชน พร้อมกับขู่บริษัทรถเมล์ที่มีอยู่ตอนนั้นว่าใครไม่รวมจะไม่ได้สัมปทานเดินรถ ทำให้ทุกบริษัทต้องยอม

แต่ก่อนที่จะเป็น ขสมก.เช่นที่เรารู้จักทุกวันนี้ รถเมล์ที่มารวมกันได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า บริษัท มหานครขนส่ง จำกัดโดยมีศาสตราจารย์สมพงษ์ จุ้ยศิริ อดีตผู้จัดการบริษัท นายเลิศ จำกัด เป็นผู้จัดการใหญ่

ศาสตราจารย์สมพงษ์ จุ้ยศิริ เล่าว่า พอตั้งเป็นบริษัท มหานครขนส่ง จำกัด ได้วันเดียวเท่านั้น พนักงานทุกระดับตั้งแต่ พขร. พขต. สไตรก์เรียกร้องขอเป็นรัฐวิสาหกิจ อ้างว่าเข็ดแล้วที่อยู่กับเอกชน เหตุนี้รัฐบาลจึงต้องเปลี่ยนจากบริษัท มหานครขนส่ง จำกัด มาเป็นองค์การขนส่งมวลชน หรือ ขสมก.ในปัจจุบัน โดยมี เฉลียว สุวรรณกิตติ เป็นผู้อำนวยการ ศาสตราจารย์สมพงษ์ เป็นรองผู้อำนวยการ

เพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพการดำเนินการของภาครัฐว่าเขาพยายามกันขนาดไหนที่จะให้รถเมล์รวมกัน ผมจึงขอนำบันทึกเหตุการณ์ของสำนักจดหมายเหตุแห่งชาติ ที่บันทึกไว้ตั้งแต่ 10 ม.ค. 2518-20 ธ.ค. 2518 มาให้อ่านกันดังนี้

การรวมบริษัทรถเมล์ในกรุงเทพฯ

นายมนัส คอวนิช อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ในขณะนั้น) แถลงกรณีปัญหาการรวมรถเมล์โดยสารในกรุงเทพฯ ควรดำเนินงานตั้งเป็นองค์การ ของรัฐขึ้น เพื่อรวมกิจการรวมรถแต่ละบริษัทให้มีลักษณะคล้ายระบบสหกรณ์ แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินเดิมยังคงสภาพการเป็นเจ้าของอยู่

คณะกรรมการควบคุมรถโดยสารประชุมพิจารณาปัญหาการรวมรถเมล์ โดยมีมติในการวางแนวทางรวมรถเมล์ไว้ 4 ประการ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีในสมัยนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยังไม่ตัดสินปัญหาการรวมรถเมล์ในกรุงเทพฯ โดยจะยกเรื่องดังกล่าวให้รัฐบาลชุดใหม่ซึ่งมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตัดสินใจเอง

นายสุจินต์ ประกอบผล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยประดิษฐ์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมผู้ประกอบการขนส่ง แถลงข่าวเกี่ยวกับการเสนอโครงการรวมรถเมล์เป็นบริษัทเดียวต่อรัฐบาล

คุณหญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ประธานกรรมการบริษัท นายเลิศ จำกัด ชี้แจงกรณีการคัดค้านรวมกิจการเดินรถเมล์ตามโครงการของรัฐบาล

นายเล็ก สินธุชัย เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการขนส่ง เสนอแนะเกี่ยวกับการรวมรถเมล์ ควรมีบริษัทเป็นแกนกลางที่เกิดจากทุกบริษัทร่วมมือกันเอง และอยู่ใต้การดูแลของรัฐบาล เพื่อไม่ให้ฝ่ายรถเมล์เอาเปรียบประชาชน และในทำนองเดียวกันก็ไม่ให้ฝ่ายรถเมล์ขาดทุน

พล.ต.ศิริ สิริโยธิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงกรณีการรวมรถเมล์ซึ่งตกลงกันได้ และจะเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนในเวลา 5 ปี

ตัวแทนพนักงานรถเมล์ขาวร้องเรียนต่อกรรมาธิการคมนาคมของรัฐสภาให้ยับยั้งการรวมรถเมล์ ระบุทำให้ฝ่ายรถเมล์ขาวเสียเปรียบ และทำให้เกิดภาวะเสือนอนกิน

นายสมพงษ์ จุ้ยศิริ ผู้จัดการบริษัท นายเลิศ จำกัด แถลงกรณีการมอบปัญหาการรวมรถเมล์ให้คณะกรรมาธิการคมนาคมของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณา เพราะถือว่าเป็นคณะกรรมการระดับชาติ

นายเล็ก สินธุชัย เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการขนส่ง ชี้การรวมรถเมล์เป็นบริษัทเดียวตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการขัดกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

นายเสริมชาติ ยามะรัตน์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการรวมรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพฯ ด้วยการรวมกันเป็นบริษัทมหาชน และพยายามรวมกันให้เหลือประมาณ 2 หรือ 3 บริษัท

เบื้องหลังการรวมรถเมล์เป็นบริษัทเดียว

รัฐบาลได้ยื่นคำขาดหากไม่รวมจะไม่ให้สัมปทาน ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยื่นญัตติซักฟอก พล.ต.ศิริ สิริโยธิน แห่งพรรคชาติไทย สส.ฝ่ายรัฐบาล กรณีรวมบริษัทรถเมล์ในรูปบริษัทมหาชน

พนักงานองค์การ ร.ส.พ. นัดหยุดงานเรียกร้องให้รัฐบาลรวมรถเมล์เป็นรูปรัฐวิสาหกิจ ระบุเหตุผลทำให้พนักงานได้รับความเป็นธรรมในด้านค่าจ้างและสวัสดิการ ไม่ต้องหวั่นเกรงการถูกเลิกจ้าง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ยืนยันให้รวมรถเมล์โดยยึดหลักการประนีประนอม

พล.ต.ศิริ สิริโยธิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงกรณีการรวมรถเมล์ รัฐบาลจะเป็นผู้จัดรูปบริษัท โดยรัฐบาลถือหุ้นร้อยละ 51 และเป็นผู้รับสัมปทานการเดินรถทั้งหมดต่อจากบริษัทเอกชนที่จะหมดอายุลง ส่วนอีกร้อยละ 49 ให้ผู้ประกอบการถือหุ้น รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนเริ่มแรก 100 ล้านบาท

รถเมล์สไตรก์

ตัวแทนพนักงานบริษัทเดินรถเมล์ 18 บริษัท เรียกร้องให้รัฐบาลรวมรถเมล์เป็นรัฐวิสาหกิจในรูปขององค์การที่รัฐบาลดำเนินการร้อยเปอร์เซ็นต์ และยื่นคำขาดให้รัฐบาลตอบภายใน 48 ชั่วโมง ต่อมาปรากฏว่ารถเมล์ทั่วกรุงเทพฯ ยกเว้นบริษัท ขนส่ง บริษัท นายเลิศ และบริษัท ไทยประดิษฐ์ ได้หยุดบริการตามปกติ จนทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลได้แก้ปัญหาโดยการนำรถทหารออกรับส่งผู้โดยสาร หลังจากผละงานประมาณ 30 ชั่วโมง รถเมล์จึงได้วิ่งตามปกติ

บริษัทใหม่

บริษัท มหานครขนส่ง จดทะเบียนบริษัทเรียบร้อย และประกาศขายหุ้นให้พนักงานด้วยราคาหุ้นละ 100 บาท เพื่อให้พนักงานรถประจำทางมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการรถประจำทาง

นายบุญยง วัฒนพงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงเกี่ยวกับการบริการของรถเมล์ในรูปบริษัท มหานครขนส่ง โดยจะเดินตามเส้นทางเดิมก่อนจนกว่าจะปรับปรุงการจราจรเรียบร้อยจึงจะกำหนดเส้นทางเดินใหม่

ผู้ประกอบการรถเมล์บริษัทต่างๆ ร่วมประชุมหารือเรื่องเป้าหมายและการบริหารงานของบริษัท มหานครขนส่ง คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเริ่มศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดรถเมล์ในรูปบริษัทมหาชน

นายศิริลักษณ์ จันทรางศุ ปลัดกระทรวงคมนาคม แถลงเกี่ยวกับการพิจารณาการจองหุ้นในบริษัท มหานครขนส่ง จำกัด และกำหนดวิธีการแสดงบัญชีทรัพย์สินบริษัทรถเมล์ที่ขายกิจการให้รัฐบาล การแสดงบัญชีจำนวนคน ตลอดจนระเบียบข้อบังคับและระบบสวัสดิการพนักงานของบริษัทใหม่

พล.ต.ศิริ สิริโยธิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงเกี่ยวกับการเปิดบริการรถประจำทางฟรีให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2518 เป็นต้นไป

นายมนัส คอวนิช ประธานกรรมการบริษัท มหานครขนส่ง แถลงผลคืบหน้าการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งรวมกิจการรถเมล์ทุกบริษัทให้เหลือเพียงบริษัทเดียว ประสบปัญหาหนักเกี่ยวกับการตีราคาทรัพย์สินไม่ได้

พนักงานบริษัทนายเลิศหยุดงาน

พนักงานบริษัท นายเลิศ จำกัด หยุดงาน เพื่อเรียกร้องเงินช่วยค่าครองชีพจากบริษัท มหานครขนส่ง จำกัด

กระทรวงคมนาคมแถลงแก้ข้อกล่าวหาที่ระบุว่ารวบอำนาจตั้งบริษัท มหานครขนส่ง จำกัด เพราะไม่ต้องการให้การดำเนินงานผิดพลาด

นายสดับ มาศกุล อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการขนส่ง เปิดเผยเกี่ยวกับการทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เร่งรัดให้บริษัท มหานครขนส่ง จำกัด ทำการตีราคารถเมล์พร้อมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ ของบริษัทผู้ประกอบการขนส่ง

นายเฉลียว สุวรรณกิตติ ผู้จัดการใหญ่บริษัท มหานครขนส่ง แถลงเกี่ยวกับโครงการปรับปรุงบริการรถเมล์นครหลวง โดยจะจัดรถเมล์ติดแอร์บริการ และเปลี่ยนเส้นทางรถเมล์ใหม่รวม 85 สาย (10 ม.ค. 2518-20 ธ.ค. 2518)

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีผู้มีนามว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มอบให้คนกรุงเทพฯ เมื่อปี 2518 และเป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน

(ข้อมูลจากสำนักจดหมายเหตุแห่งชาติ

ความเป็นมาของกิจการรถเมล์ในกรุงเทพมหานคร ตามประวัติกล่าวว่ารถเมล์โดยสารประจำทางในสมัยก่อนเรียก ว่ารถเมล์ เข้าใจว่าคงเรียกชื่อตามเรือเมล์ รถเมล์ประจำทางที่มีครั้งแรกนั้น ใช้กำลังม้าลากจูงแทน ไม่ต้องอาศัยน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นภาระเดือดร้อนแก่ผู้ประกอบการ เช่นในปัจจุบัน ซึ่งพระยาภักดี นรเศรษฐ (นายเลิศ เศรษฐบุตร) เป็นผู้ริเริ่มกิจการรถเมล์เมื่อราวปี พ.ศ. 2450 วิ่งจากสะพานยศเส (กษัตริย์ศึก) ถึงประตูน้ำสระปทุม แต่เนื่องจาก ใช้ม้าลากจึงไม่รวดเร็วทันใจ และไม่สามารถให้ความสะดวกแก่ผู้โดยสารได้เพียงพอ ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 พระยาภักดีฯ จึงได้ปรับปรุงกิจการใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวิธีการเดินรถ โดยนำรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดมาวิ่งแทนรถเดิม ที่ใช้ม้าลาก และขยายเส้นทางให้ไกลขึ้น จากประตูน้ำสระปทุมถึงบางลำพู(ประตูใหม่ตลาดยอด)

รถยนต์ที่ใช้ เป็นรถโดยสารประจำทางครั้งแรกมี 3 ล้อ ขนาดเท่ากับ 1 ใน 3 ของรถโดยสารประจำทาง ในปัจจุบัน มีที่นั่ง 2 แถว ทาสีขาว มีกากบาทสีแดง นั่งได้ประมาณ 10 คน คนทั่วไปเรียกว่าอ้ายโกร่ง เพราะวิ่งไปตามถนนมีเสียงดังโกร่งกร่าง ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็ว ในการเดินทางเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย รถเมล์จึงขยายตัวอย่างกว้างขวาง ออกไปทั่วกรุงเทพฯ ในนามของบริษัท นายเลิศ จำกัดหรือบริษัทรถเมล์ขาว การประกอบอาชีพการเดินรถ โดยสารประจำทางได้ขยายตัวขึ้น เมื่อรัฐบาลมีการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี (พ.ศ. 2475) พร้อมทั้งได้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ เพื่อเชื่อมการคมนาคมระหว่างฝั่งพระนคร และธนบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 กิจการรถเมล์เริ่มเป็นปึกแผ่น ได้มีเศรษฐีชาวจีนเล็งเห็นว่า การประกอบการเดินรถโดยสารประจำทาง เป็นอาชีพที่มั่นคง และทำรายได้ดีอย่างหนึ่ง จึงได้ก่อตั้ง บริษัทเดินรถโดยสารประจำทาง ขึ้นชื่อบริษัท ธนนครขนส่ง เดินรถจากตลาดบางลำพู ถึงวงเวียนใหญ่ หลังจากนั้นได้มีผู้ลงทุน ตั้งบริษัทรถโดยสารประจำทาง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจและราชการ ก็ทำการเดินรถด้วย คือ เทศบาลนครกรุงเทพฯ เทศบาลนนทบุรี บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.) และบริษัทเอกชนอีก 24 บริษัท รวมผู้ประกอบการเดินรถโดยสารประจำทาง ในกรุงเทพฯ ขณะนั้นมีถึง 28 ราย

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางราชการได้ขายรถบรรทุกให้เอกชน เป็นจำนวนมาก ซึ่งเอกชนได้นำรถบรรทุก มาดัดแปลงเป็นรถ โดยสารประจำทาง มีการเลือกเส้นทางเดินรถเอง โดยไม่ให้ซ้ำกับ เส้นทางที่มีรถรางวิ่งอย่างเสรี จึงก่อให้เกิดการแข่งขันกันขึ้น รัฐบาลจึงได้ออก พ.ร.บ. การขนส่ง ในปี พ.ศ. 2497 มาควบคุม โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการรถ โดยสารประจำทาง ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบการขนส่งและ ในระยะหลังๆ การให้บริการรถเมล์ชักจะเกิดความสับสน มีการเดินรถทับเส้นทางกันบ้าง แก่งแย่งผู้โดยสารกันบ้าง การให้บริการของแต่ละ บริษัทก็ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ปล่อยให้มีการเดินรถอย่างเสรี ทำให้เกิดปัญหา ความคับคั่งของ การจราจร เนื่องจากจำนวนรถ ในท้องถนนมีมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งผลเสียทั้งหมดตกอยู่กับ ผู้ใช้บริการทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ ได้ประสบปัญหา ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมัน ในตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้น อย่างฉับพลัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา แต่ผู้ประกอบการ ไม่สามารถจะปรับอัตราค่าโดยสาร ให้เพิ่มขึ้นในอัตราสมดุลกับราคาน้ำมันได้ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นผลให้ หลายบริษัทเริ่มประสบกับปัญหา การขาดทุน บางบริษัทก็มีฐานะทรุดลงจนไม่สามารถ จะรักษาระดับบริการที่ดี แก่ประชาชนต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการรวมรถ โดยสารประจำทางต่างๆ ให้เหลือเพียงหน่วยงานเดียว

ครั้นในเดือนกันยายน 2518 ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีมติของคณะรัฐมนตรี ให้รวมรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพมหานคร เป็นบริษัทเดียว เรียกว่า "บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด เป็นรูปรัฐวิสาหกิจประเภทบริษัท จำกัด มีรัฐถือหุ้นอยู่ 51% และเอกชนถือหุ้น 49% แต่การรวมและการจัดตั้งเป็นบริษัทมหานครขนส่ง จำกัด ในขณะนั้นมีปัญหาบางประการ ในเรื่องของกฎหมายการ จัดตั้งในรูปแบบ ของการประกอบกิจการขนส่ง ดังนั้น ต่อมาในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงได้ออกพระราชกฤษฎีกา การจัดตั้งเป็นองค์การขอรัฐให้ชื่อว่า "องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ" เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2519 โดยรวมกิจการรถโดยสารทั้งหมด จากบริษัทมหานครขนส่ง จำกัด มาขึ้นอยู่กับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ประเภทกิจการสาธารณูปโภค สังกัดกระทรวงคมนาคม มีภารกิจ และขอบเขตความรับผิดชอบ ในการจัดบริการ รถโดยสารประจำทางวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสาร ในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง 5 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม และนครปฐม มีผู้ใช้บริการ ประมาณกว่า 3 ล้านคนต่อวัน นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ ในด้านประกอบการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับ การประกอบการขนส่งบุคคล เนื่องจากกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง จัดเป็นสาธารณูปโภค ชนิดหนึ่งของรัฐที่ให้บริการแก่ประชาชน ผู้มีรายได้น้อย และปานกลางเป็นหลัก การดำเนินการ จึงมุ่งสนองตอบนโยบายของรัฐบาลในด้านการให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้มีรายได้น้อย โดยไม่หวังผลกำไร การจัดเก็บอัตราค่าโดยสาร จึงอยู่ในอัตราต่ำกว่าต้นทุน ตามที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย การให้บริการของ ขสมก. มุ่งในด้านความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินรถของ ผู้โดยสารเป็นหลัก

ประวัติการก่อตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ

กิจการรถเมล์ได้ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกในเมืองหลวง โดย พระยาภักดีนรเศรษฐ์ (เลิศ เศรษฐบุตร) ในปี พ.ศ. 2450 ช่วงแรกเป็นรถเทียมม้า ต่อมาเป็นรถยนต์ สามล้อ ยี่ห้อฟอร์ด มีที่นั่งยาวเป็นสองแถว กิจการรถเมล์เจริญ ขึ้นเป็นลำดับ และขยายเส้นทางออกไป ทั่วพระนครในปี พ.ศ. 2476

กิจการรถเมล์ได้เจริญเติบโตขึ้นพร้อมกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงและการเพิ่มของประชากร เมื่อมีบริษัทรถเมล์ มากขึ้น เส้นทางวิ่งก็มากขึ้น และขยายไกลออกไป ลักษณะเส้นทาง จะวกวนซับซ้อน การจราจรจะเริ่ม คับคั่งติดขัด เพราะเป็นรถเมล์เอกชน ที่ต่างก็มุ่งบริการเพื่อแสวงหาผลกำไร เพียงอย่างเดียว โดยไม่พยายามปรับปรุงด้าน การบริการ ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 2516-2518 เกิดภาวะเงินเฟ้อ ผู้ประกอบการเริ่มเรียกร้องให้มีการปรับปรุง ค่าโดยสารและใช้แรงงานเป็นเครื่องมือ เร่งรัดบีบรัฐบาล จนในที่สุดรัฐบาลต้องมารับภารกิจในด้านการขนส่งเอง

ในปี พ.ศ. 2514 ผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลเยอรมัน ได้ทำการสำรวจภาวะ การจราจรในกรุงเทพฯ เสนอ แนะให้รวม รถเมล์เอกชน ขณะนั้นมีจำนวน 24 บริษัท และของรัฐอีก 2 แห่ง มีรถประจำการ 3,773 คัน ควรรวมเป็นราย เดียวกัน จะเป็นเอกชนหรือรัฐบาล หรือเอกชนร่วมกับรัฐก็ได้ ถ้าเอกชนร่วมกับรัฐก็ได้ ถ้าเอกชนรวมกันไม่ได้ รัฐควรเป็น ผู้ดำเนินการรวมเสียเอง โดยการรับซื้อ รถยนต์เก่าและงดต่อใบอนุญาต ซึ่งหมดสัญญาในวันที่ 30 กันยายน 2518

จุดเริ่มต้นของการรวมรถเมล์อย่างจริงจัง คือในสมัย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอแผน การที่จะขจัด ปัญหาความยากจน ของประชาชนในเมืองหลวง ให้ผู้มีรายได้ต่ำและบุตรหลาน นักเรียน นักศึกษา ไม่ต้องเสีย ค่าโดยสารรถเมล์ จากเหตุผลดังกล่าว รัฐบาลจึงตัดสินใจ รวมรถเมล์เป็นรูป บริษัท รัฐวิสาหกิจ "บริษัท มหานครขนส่ง จำกัด" เริ่มกิจการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2518 เป็นกิจการสาธารณูปโภค ด้านการบริการประชาชน โดยไม่หวังผลกำไร

จากปัญหา ข้อกฎหมาย และการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลใหม่ รัฐบาลจึงให้ยกเลิก การดำเนินการในรูป บริษัท มหานครขนส่ง จำกัด เป็นองค์การ ในรูปรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งโดย พระราชกฤษฎีกา จัดตั้งเป็น "องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ" เมื่อ วันที่ 18 สิงหาคม 2519 และเริ่มดำเนิน กิจการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์ เดิน รถโดยสารประจำทาง ให้บริการประชาชนในเขต 6 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ


เผยโฉมตั๋วสัปดาห์, ตั๋วเดือน ขสมก.

บทนำ

การเดินทางไปงานคอสเพลย์ หรือจะไปเที่ยว ไปหาเพื่อน ไปไหนก็ตามแต่การเดินทางหลักก็จะมีรถไฟฟ้า และ รถโดยสารหรือรถเมล์ ก็ส่วนใหญ่หลายๆคนคงจะใช้รถไฟฟ้า เพราะไปได้สะดวก รวดเร็ว แต่ข้อจำกัดของรถไฟฟ้าก็คือไปได้ไม่ทั่วถึง แม้จะผ่านสถานที่จัดงานคอสเพลย์ แต่มีน้อยคนที่จะมีสถานีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบ้านตัวเองเลยด้วยซ้ำไป แน่นอนว่า รถโดยสาร หรือ รถเมล์ ก็เป็นการเดินทางที่เข้าถึงได้มากกว่า เรียกว่า แทบเกือบทุกถนนใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ จะต้องมีรถโดยสารขนาดใหญ่ หรือ รถเมล์ ผ่านบางซอยถนนเล็กๆ ก็ยังมีรถเมล์ เช่น ถนนประชาสงเคราะห์ ถนนชักพระ ถนนชัยพฤกษ์ เป็นต้น


ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
แน่นอนว่าการเดินทางต้องมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า หรือ รถเมล์ แต่รถไฟฟ้าค่าโดยสารค่อนค้่างแพงมากๆ ตั้งแต่ 15-45 บาท (BTS ส่วนขยายไปแบริ่ง เปิดเมื่อไร มีข่าวแว่วๆจะขยายราคาไปถึง 60 บาท ไปกลับแบงค์ร้อยใบนึงเอาไม่อยู่แน่ๆบางคน) แต่หากกลับมามองเรื่่องรถเมล์ ค่าโดยสารก็แพงไม่แพ้กัน รถธรรมดา หรือ รถร้อน(ไม่มีเครื่องปรับอากาศ) ราคาถูกมากๆ เต็มที่ก็ 8 บาท (ไม่นับราคาช่วงทางด่วน กะสว่าง หรือบางช่วงที่เก็บในเส้นทางรถโดยสารหมวด 4 จังหวัดปริมณฑล ซึ่งจะใช้เรตอีกราคาในบางสาย) แม้กระทั่งฟรีก็หาได้เช่นกันกับรถธรรมดา (แต่ช่วงหน้าร้อนคงจะไม่ไหว) หากใครที่นั่งรถโดยสารปรับอากาศ แน่นอนว่าอัตราค่าโดยสารจะเก็บตามระยะทางที่ 11-19 บาทสำหรับรถครีมน้ำเงิน และ 12-24 บาท สำหรับรถยูโร ถ้านั่งไปกลับหลายๆต่อ ก็แพงเอาเรื่องเช่นกัน

Image

เมื่อ ขสมก. ออกตั๋วประหยัดรายสัปดาห์ / รายเดืิอน
ในเมื่อยุคนี้ค่าครองชีพแพงขนาดนี้ อีกไม่นานนี้เราจะได้พบกับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถเมล์ แต่ตอนนี้ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เหมือนจะให้เราได้ลองปรับตัวรองรับในอนาคต จึงได้ออกเพจแกจตั๋วสัปดาห์ และ ตั๋วเดือน ในราคาประหยัดเพื่อสะดวกต่อการเดินทางมากขึ้น ซึ่งตั๋วที่ว่านี้ สามารถเดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยว จะขึ้นลงกี่ต่อก็ได้ไม่สำคัญ จะนั่งป้ายเดียว หรือจะนั่งต้นทางยังสุดสาย หรือนั่งแล้วแวะลงหาอะไรกินกลางทาง ค่อยมานั่งต่อก็ยังได้ ไม่จำกัดเที่ยวในระยะเวลาที่กำหนด แต่ .... ข้อจำกัดคือใช้แค่เฉพาะ รถโดยสารของ ขสมก. เท่านั้น รถร่วมบริการ มินิบัสสีแสด รถเมล์เหลือง รถเมล์ชมพู สองแถว รถตู้ เมโทรบัส บีอาร์ที รถโดยสารอื่นๆ ที่ไม่ใช่ ขสมก ใช้บัตรนี้ไม่ได้ แต่ทีนี้ตั๋วสัปดาห์ และ ตั๋วเดือนมันมีหน้าตายังไง

ตั๋วสัปดาห์ สำหรับการเดินทางที่ไม่แน่นอน
เป็นตั๋วที่ออกมาใช้สำหรับการเดินทางใน 1 สัปดาห์ ซึ่งจะมี 2 แพจเกจ

แพจเกจสำหรับรถธรรมดา ราคา 100 บาท (ยังไม่จำหน่าย)
แพจเกจสำหรับรถปรับอากาศ และรถธรรมดา ราคา 200 บาท

ในตั๋วนั้นจะมีช่องปีที่ใช้ก็คือ 2554 / 2555 (ใครซื้อจะมาเก็บไว้ใช้ปีหน้าก็ได้นะครับ) ช่องต่อมาจะเป็นเดือนที่ใช้ จะมี 12 ช่อง ก็มกราคม ถึง ธันวาคม และ อีกช่องนึงก็คือสัปดาห์ที่ใช้จะเป็นช่วงๆ

แล้วสัปดาห์นึงเขานับกันยังไง เช่น จะใช้สัปดาห์นึงแต่ผมจะใช้วันที่ 5 ถึง 12 ก็นับแล้ว สัปดาห์นึง จริง !!!! แต่ไม่ใช่ ตั๋วสัปดาห์ของเขาจะนับเป็นช่วงเวลาของเขากำหนด จะแบ่ง 4 ช่วง

ช่วงที่ 1 : วันที่ 1 - 7
ช่วงที่ 2 : วันที่ 8 - 14
ช่่วงที่ 3 : วันที่ 15 - 21
ช่วงที่ 4 : วันที่ 22 - สิ้นเดือน (อันนี้คุ้มมากๆครับ)

นั่นก็คือว่าถ้าจะใช้ช่วงไหนของเดืิอนสามารถเลือกได้ แต่กรณีสักครู่ที่ว่านั่งวันที่ 5 ถึง 12 อันนั้นต้องซื้อ 2 ใบก็ใบนึงช่วงที่ 1 กับอีกใบนึงใช้ช่วงที่ 2 นั่นเอง หรือจะใช้เฉพาะวันที่ 1-8 จะซื้อแค่ใบเดียวใช้ช่วงที่ 1 (วันที่ 1-7 ก็ได้) อีกวันก็ไม่ต้องใช้ หรือจะซื่้ออีกใบก็แล้วแต่ท่าน

ข้อดีของตั๋วประเภทนี้ก็คือว่า สามารถเลือกใช้เป็นเฉพาะช่วงๆได้ เมื่อเทียบกับตั๋วเดือนแล้วราคาเท่าๆกัน ก็คือตั๋วเดือน 800 บาท แต่ตั๋วสัปดาห์ 200 บาท จำนวน 4 ใบใช้ทั้ง 4 ช่วงก็เท่ากับ 1 เดือน ก็ราคา 800 บาทเท่ากัน แต่หากสัปดาห์ไหนไม่ได้ใช้ หรือใช้แค่บางเฉพาะ ตั๋วเดือนสามารถเลือกใช้เฉพาะช่วงได้ แต่ตั๋วเดือนนั้นเหมาทั้งเดือน

ส่วนข้อด้อยก็ที่บอกไปครับว่า ช่วงการใช้งานต้องเป็นไปตามที่กำหนดในตั๋วนั้น ไม่สามารถระบุเป็นเฉพาะๆจริงๆที่เราอยากใช้นั่นเอง

ตั๋วเดือน สำหรับการเดินทางที่คุ้มตลอดเดือน
เป็นตั๋วที่ออกมาสำหรับการเดินทางตลอดเดือน จะมี 2 แพจเกจให้เลือก

แพจเกจสำหรับรถธรรมดา ราคา 400 บาท (ยังไม่จำหน่าย)
แพจเกจสำหรับรถปรับอากาศ และรถธรรมดา ราคา 800 บาท

ในตั๋วนั้นจะมีแค่ปีที่ใช้ ก็คือ 2554 / 2555 กับเดือนที่ใช้ 12 ช่อง (มกราคม - ธันวาคม) แต่ตั๋วใบนี้นั้นใช้ได้เฉพาะเดือนที่กำหนด

ข้อดีของตั๋วประเภทนี้คือว่า ใช้ได้ตลอดเดือนโดยที่เราไม่ต้องคอยมาซื้อที 4 ใบ มันได้ทั้งเดือนเหมือนกัน แถมราคาเท่ากัน ถ้าใช้เดือนนึงแต่เป็นตั๋วสัปดาห์ก็ได้เช่นกัน แต่พอจะหมดสัปดาห์ก็ต้องรีบหาซื้อเพื่อใช้ต่อนั่นเอง

ข้อด้อยของตั๋วใบนี้ก็คือว่าถ้าทำหาย หรือชำรุด ก็จบกันครับ ยิ่งทำหาย หรือ ชำรุดช่วงแรกๆของเดือนก็แย่เลยหละ หรือจะใช้เดือนนี้แล้วแต่ไปซื้อช่วงกลางเดือนก็ไม่คุ้มกันครับ เพราะเสียสิทธิ์ไปแล้ว 15 วัน ถึงจะใช้ 15 วันที่เหลือของเดือนก็ตามที ไม่คุ้มครับ ไปใช้ตั๋วสัปดาห์ 2 ใบแค่ 400 บาทยังดีกว่าครับ และจ่ายที่จำเป็นเพราะอันนั้นก็ 800 บาท)

พิจารณาว่าคุ้มหรือไม่กับการซื้อตั๋วชนิดนี้
อันนี้ขอบอกว่าแต่ละคนจะไม่เท่ากัน บางคนคุ้มเท่ากับจ่ายปกติ บางคนก็ไม่คุ้มเลยเพราะไม่ได้ใช้ หรือไม่สามารถใช้ได้ แต่บางคนก็คุ้มจนชนิดสุดๆไปเลยก็มี ทีนี้จะพิจารณายังไงว่าคุ้มไม่คุ้ม ก็ลองมาคิดกันก่อนครับ

เริ่มแรก - ใช้บริการประเภทไหนเป็นประจำ
ต้องมาดูก่อนว่าเราใช้อะไรบ่อยสุด เช่น ถ้าใช้รถร่วมบริการบ่อยกว่า หรือ มินิบัสบ่อย หรือแทบมากๆ ซึ่งตั๋วแบบนี้ใช้ไม่ได้ ก็ไม่ควรซื้อเพราะใช้ไม่คุ้มเสียเลย แต่หากกลับกันถ้าคุณนั่งรถของ ขสมก บ่อยเป็นประจำ ตั๋วที่ว่านี้ก็ควรจะลองมาใช้ แต่่ถ้าใครใช้รถไฟฟ้าบ่อยๆ ก็อันนี้ตามสบายท่านครับ แต่อยากจะสบาย สะดวก ขึ้นลงไม่จำกัดเที่ยวลองมาเล่นพวกนี้ได้

อย่างที่สอง - ใช้บ่อยหรือไม่
บางคนขึ้นรถเมล์แค่ไปงานคอสเพลย์ แต่ตอนเรียนก็รถที่บ้านรับส่ง อันนี้ไม่ต้องใช้หรอกครับ .... แต่ถ้าใคร ขึ้นรถเมล์ไปเรียน แล้วไปคอสเพลย์ ก็น่าสนนะครับ แต่หากชอบเที่ยวนั่งรถเมล์ อันนี้ขอบอกว่า "ควรจะใช้ตั๋วแบบนี้อย่างยิ่ง"

อย่างที่สาม - ราคาเฉลี่ย
ราคาเฉลี่ยของตั๋วสัปดาห์ กับ ตั๋วเดือน ตกที่วันละ 30 บาท (สมัยก่อนเคยมีตั๋ววันจำหน่ายในราคา 30 บาทแต่ปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้ว) หากใครที่ใช้รถเมล์บ่อยๆ แต่วันนึงไม่ถึง 30 บาท ก็ไม่แนะนำเท่าไรนัก แต่หากใครบางคนที่ใช้รถ ขสมก บ่อยๆ แต่นั่งสองต่อขึ้นไป ยิ่งรถปรับอากาศด้วย ผมแนะนำว่าควรใช้ตั๋วพวกนี้ เพราะคุ้มอยู่แล้ว เอาง่ายๆ ขาไป 12 + 12 บาทก็ 24 บาท ไปกลับ 48 บาท ถ้าไปทั้งสัปดาห์ ก็จ่ายเกือบๆ 350 บาท แต่ตั๋วสัปดาห์ ก็แค่ 200 บาท อีก 150 บาทไปซื้อผ้าตัดคอสยังได้เลย หุหุหุ อย่างน้อยก็ช่วยเซฟเงินท่านได้

แต่ก็มีบางคน โดยเฉพาะพวกโอตาคุรถเมล์ หรือพวกที่ชื่นชอบรถเมล์ พวกนี้เรียกว่าต่อให้วันธรรมดาที่ใช้ไม่ถึงเฉลี่ยวันละ 30 บาท แต่เมื่อถึงวันหยุด หรือวันที่ได้เที่ยวเล่น พี่แกสามารถใช้ราคาเรียกว่าเกินแหลกหลานไปสุดๆ จากสถิติพบว่า เดือนนึงใช้ตั๋วเดือน 800 บาท แต่ใช้ไปแล้ว 1,600 บาท แต่สถิติสูงๆพวกนี้เดือนนึงเขาสามารถใช้กันไม่ต่ำกว่า 2,500 - 3,000 บาท (สถิติสูงสุดประมาณการ 4,000+ บาท) แต่จ่ายตั๋วเดือนแค่ 800 บาท แม้แต่คอสเพลย์บางคนวันแรกของการใช้ตั๋วสัปดาห์ ราคา 200 บาท แค่วันแรกประเดิมไปแล้วเกือบ 140 บาท วันที่เหลืออัก 6 วันของตั๋วสัปดาห์ก็คงใช้กันแบบคุ้มสุดตัวไปข้างนึงเลยทีเดียว

ไม่แปลกหรอกครับ เล่นยังไงหละถึงได้ทำสถิติกันพรวดพราด เอาง่ายๆ แค่ป้ายเดียวเช่นสยาม ไป ประตูน้ำ พี่แกไม่เล่นเดิน ก็ขึ้นไปก็ 12 บาทแล้ว บางคนหนักกว่า ขึ้นสาย 79 จากสายใต้ใหม่ไป CW ก็ 20 บาท แต่พี่เล่นมาลงตลาดตลิ่งชันนั่งเรือเล่น ก็จากสายใต้ ไปตลาดน้ำก็ 12 บาท จากตลาดน้ำไป CW ก็ 16 บาท มานับแล้วก็ 28 บาท

หรือลองคิดเล่นๆ บางคนวันนึงเขาใช้ตั๋วสัปดาห์ 200 บาท แต่วันนั้นเล่นนั่งไปแวะห้าง แวะเที่ยวกี่ที่ นั่งกี่ต่อออกมาแล้วแบบนี้

11 + 20 + 14 + 14 + 12 + 12 + 12 + 12 + 18 + 11

ปาเข้่าไปแล้ว 13 952 บาท แต่ใช้ตั๋วสัปดาห์ 200 บาท ซึ่งก็ไม่จำกัดเที่ยวต่อวัน ไม่แปลกที่ตัวเลขจะออกมาแบบเว่อร์ๆ
6 บาท แค่วันแรกนะ ซึ่งที่บอกไปว่าวันนึงเขาเฉลี่ยที่ 30 บาท แต่ล่อไปขนาดนั้นแล้วถ้านั่ง 7 วันตลอดตั๋วสัปดาห์ แล้วนั่งแบบที่ว่านี้ก็ปาไปแล้ว

อันนี้ขึ้นกับการใช้งานของแต่ละคนด้วยนะครับ ^^

วิธีการใช้งาน
ก็ไม่ยากครับ ก็เหมือนปกติแต่แทนที่เราจะจ่ายตังก็ มาเป็นแสดงตั๋วใบนี้แทนควรจะเก็บไว้ หากกรณีที่นายตรวจขึ้นมาก็แสดงตั๋วนี้ให้นายตรวจเช่นกัน แต่ตั๋วสัปดาห์ และ ตั๋วเดือน จะต้องมีการทำตำหนิก็คือเจาะรูนั่นเอง

Image
นี่เป็นภาพตัวอย่างก็คือใช้ในช่วงที่ 1 (วันที่ 1-7) ของเดือนพฤษภาคม ปี 2554 (เพิ่งประเดิมไปงานโคโคโระมา)

หาซื้อได้ที่ไหน
สามารถหาซื้อตั๋วสัปดาห์ และ ตั๋วเดือน ได้ที่กระเป๋ารถเมล์(บางคนก็มี บางคนไม่มีนะครับ) นายท่า หรือตามสถานที่เช่น อู่บางเขน อู่หมอชิต อู่แสมดำ อู่ต่างๆของ ขสมก. หรือที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะมีโต๊ะขายตั๋ว แน่นอนว่าหาซื้อคงจะไม่ยาก แต่ก่อนจะซื้อควรจะศึกษาเส้นทาง และ การใช้งานของเราโดยปกติก่อนนะครับว่าคุ้มหรือไม่ ?


อย่างไรก็ตามใช่ว่าจะใช้กันได้คุ้มเท่ากันทุกคน แต่หากใครได้ใช้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ แต่หากใครได้ใช้แล้วสามารถช่วยค่าใช้จ่ายของท่านได้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์เช่นกัน

ที่มา http://www.ccath.com/phpBB/topic15429.html

ตัวหนาผยโฉมตั๋วสัปดาห์, ตั๋วเดือน ขสมก. ประหยัด-ใช้ไม่จำกัดเที่ยว

เผยโฉมตั๋วสัปดาห์, ตั๋วเดือน ขสมก. ประหยัด-ใช้ไม่จำกัดเที่ยว

องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก.จะทำตั๋วโดยสารราคาประหยัดออกมาขาย เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่มีรายได้ น้อย มีทั้งตั๋วสัปดาห์ ตั๋วเดือน ส่วนราคาจะประหยัดสมชื่อหรือไม่ นางปราณี ศุกระศร รอง ผอ.ขสมก. จะเป็นผู้มาชี้แจงข้อมูลรายละเอียด

ถาม…ทำไมถึงคิดทำตั๋วรถเมล์ราคาประหยัด ทั้งที่ ขสมก.ยังขาดทุน และราคาตั๋วประหยัดถูกกว่าเดิมมากน้อยแค่ไหน

ปราณี…เหตุผลข้อแรก ขสมก.ต้องการช่วยเหลือลูกค้าประจำที่นั่งรถเมล์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีรายได้น้อย แม้รัฐจะให้จัดรถเมล์ฟรีมาวิ่งบริการ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยิ่งวันไหนรถติดมากๆ รถเมล์จะขาดช่วง คนก็จะรอนาน บางคนยอมเสียเวลายืนรอรถเมล์ฟรี เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย

ขสมก.จึงทำตั๋วราคาประหยัดออกมา มีทั้งรถร้อนและรถ ปอ. แบ่งเป็น 2 ประเภท ตั๋วสัปดาห์ รถร้อน ราคา 100 บาท รถ ปอ.ราคา 200 บาท และตั๋วเดือน รถร้อน ราคา 400 บาท รถ ปอ. ราคา 800 บาท ต้นทุนการพิมพ์ถ้าเป็นตั๋วสัปดาห์ตก 4-5 บาท ตั๋วเดือนตกราคา 6-7 บาท พิมพ์อย่างละ 1 แสน

ตั๋วประหยัด ราคาจะถูกกว่าราคาปกติ ยกตัวอย่าง คนนั่งรถร้อนประจำไปกลับวันละ 4 เที่ยว เที่ยวละ 7 บาท เป็นเงิน 28 บาท ตกสัปดาห์ละ 196 บาท แต่ถ้าซื้อตั๋วประหยัด ราคาแค่ 100 บาท แถมจะขึ้นกี่เที่ยวก็ได้ไม่จำกัด มีข้อแม้ว่าซื้อตั๋วประเภทไหนจะต้องใช้ให้ตรงกับที่ซื้อ ยกเว้นตั๋วรถ ปอ.สามารถใช้ขึ้นรถร้อนได้

เหตุผลข้อสอง คือ ช่วยแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน เพราะจะมีเงินสดจากรายได้ค่าโดยสารมาหมุนเวียนในระบบมากขึ้น จากเดิมต้องรอวันต่อวัน เหตุผลข้อสุดท้าย เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมฝึกคนใช้ตั๋วใบเดียว เพราะต่อไปจะพัฒนาเป็นระบบตั๋วร่วม หรืออีทิกเก็ต

ถาม…ก่อนหน้านี้ ขสมก.เคยทำตั๋วราคาประหยัดมาขายหลายครั้ง แต่ทำไมถึงเลิกแล้วกลับมาทำใหม่

ปราณี….ที่ทำๆเลิกๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ แนวนโยบายของผู้บริหารแต่ละคนที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะมองว่าเป็นการเพิ่มภาระให้กับ ขสมก. มีการทำตั๋วผี ตั๋วปลอมมาใช้ ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น จึงแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น

บางคนเห็นด้วยเพราะต้องการช่วยเหลือประชาชน ถึงแม้ ขสมก.รายได้จะลดลง แต่ถ้ามีวิธีการบริหารจัดการที่ดี ขสมก.ก็อยู่ได้ แต่สาเหตุจริงๆที่ยกเลิก เพราะคนไม่นิยมมากกว่า อาจเพราะไม่รู้ว่ามีตั๋วราคาประหยัด หรือรู้ แล้วแต่ไม่อยากจ่ายเงินก้อนล่วงหน้า ที่สำคัญการประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง

สำหรับการขายตั๋วรุ่นใหม่ ขสมก.จะปรับวิธีการใหม่หมด เริ่มจากรูปแบบของตั๋วโดยสารออกแบบเป็นพิเศษ ป้องกันการปลอมแปลง โดยขนาดของตั๋ว กว้าง 85.60 มม. สูง 53.98 มม. ด้านหน้าจะพิมพ์รายละเอียดบอกประเภทของตั๋วว่า เป็นตั๋วสัปดาห์ หรือตั๋วเดือน แต่ละประเภทจะใช้สีแตกต่างกัน เช่น ตั๋วสัปดาห์ รถร้อนสีเหลืองอมน้ำตาล รถ ปอ.สีเขียวอ่อน ถ้าเป็นตั๋วเดือน รถร้อน สีแดง รถ ปอ.สีฟ้า นอกจากนี้ ยังระบุเดือน ปี พ.ศ. ที่เริ่มใช้ตั๋ว และราคาของตั๋ว

ตั๋วแต่ละใบจะมีบาร์โค้ดกำชับป้องกันการปลอมแปลง และที่ขอบด้านซ้ายจะติดแถบโฮโลแกรม (Hologram Stripe) ลวดลาย ขสมก. ส่วนที่มุมขวาล่างจะระบุราคาของตั๋ว ที่ตัวเลขแสดงราคาตั๋วจะใช้หมึกเหลือบแสง (Pink OVI) เมื่อส่องกระทบแสงจะเป็นสีชมพูเหลือบแสง ส่วนด้านหลังจะระบุเงื่อนไขการใช้ตั๋วดังกล่าว

สำหรับสถานที่ขายตั๋วก็จะเพิ่มช่องทางมากขึ้น เดิมจะขายเฉพาะที่อู่ หรือที่เขตการเดินรถ โดยจัดทีมประชาสัมพันธ์ ลงพื้นที่สำรวจและแนะนำการใช้พร้อมกับขายตั๋วไปด้วย โดยเน้นจุดที่มีคนใช้บริการมากๆ เช่น ตามป้ายรถเมล์ สถานที่ราชการ สถานที่จัดงานประชุม หรือจัดกิจกรรมต่างๆ หากบริษัทห้างร้านใดสนใจติดต่อผ่านหมายเลข 184 ก็จะไปบริการให้ถึงที่ โดยเริ่มขายตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.2554 เป็นต้นไป.

ข่าว

เผยโฉมตั๋วสัปดาห์, ตั๋วเดือน ขสมก. ประหยัด-ใช้ไม่จำกัดเที่ยว



ขสมก.ได้จัดทำโครงการบัตรโดยสารรถเมล์เฉลิมพระเกียรติ ออกจำหน่าย ด้านหน้าของบัตรเป็นภาพรถเมล์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้านหลังเป็นตราสัญลักษณ์ งานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสามารถ ขสมก.ได้จัดทำโครงการบัตรโดยสารรถเมล์เฉลิมพระเกียรติ ออกจำหน่าย ด้านหน้าของบัตรเป็นภาพรถเมล์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้านหลังเป็นตราสัญลักษณ์ งานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสามารถนำไปใช้ บริการรถเมล์ธรรมดาของ ขสมก. ได้ทุกสาย ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ยกเว้นรถปรับอากาศ รถร่วมบริการ และรถมินิบัส สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี 2542